รักษาสะเก็ดเงิน รู้ก่อนรักษาทัน ดูแลโดยคลินิกโรคผิวหนังเฉพาะทาง

สะเก็ดเงิน รักษาอย่างไร

สะเก็ดเงิน

โรคสะเก็ดเงิน เป็นโรคผิวหนังที่พบได้บ่อยในทุกช่วงวัย แม้จะไม่ใช่โรคติดต่อ แต่ความเข้าใจผิดและข้อมูลที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับสะเก็ดเงินก็ยังคงมีอยู่มาก และส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตผู้ป่วยไม่น้อย ทั้งในแง่ของความรู้สึกไม่มั่นใจ อาการคัน รำคาญ หรือแม้แต่ความเข้าใจผิดจากคนรอบข้าง

บทความนี้ หมอตาลจะพาไปรู้จักกับลักษณะอาการของโรคสะเก็ดเงินในรูปแบบต่าง ๆ สาเหตุที่กระตุ้นให้เกิดหรือทำให้อาการกำเริบ แนวทางการรักษาที่ใช้ในปัจจุบัน และวิธีดูแลตนเอง เพื่อให้เข้าใจกับโรคสะเก็ดเงินและรับมือได้อย่างเหมาะสม

โรคสะเก็ดเงิน คืออะไร

โรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis) คือโรคผิวหนังอักเสบเรื้อรังที่เกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน ส่งผลให้ผิวหนังมีการผลัดเซลล์เร็วกว่าปกติ ทำให้เกิดผื่นแดง นูน หนา และมีขุยหรือสะเก็ดสีขาวเงินปกคลุมอยู่ด้านบน

โรคสะเก็ดเงิน เกิดจากอะไร

สะเก็ดเงิน เกิดจากสาเหตุ

แม้สาเหตุของโรคสะเก็ดเงินที่แท้จริงยังไม่สามารถระบุได้แน่ชัด แต่มีหลายปัจจัยที่เชื่อว่าเกี่ยวข้องกับการเกิดโรค ได้แก่

  • พันธุกรรม (Genetics) ผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นสะเก็ดเงินจะมีความเสี่ยงสูงกว่าคนทั่วไป พบว่าประมาณ 30–50% ของผู้ป่วยมีญาติสายตรงเป็นโรคนี้เช่นกัน
  • ระบบภูมิคุ้มกันผิดปกติ (Immune system dysfunction) โรคสะเก็ดเงินจัดเป็นโรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง (autoimmune disease) ชนิดหนึ่ง
  • สิ่งแวดล้อม (Environmental factors) สภาพอากาศร้อนจัดหรือเย็นจัด การสัมผัสแดดแรง หรือแมลงสัตว์กัดต่อย อาจทำให้โรคกำเริบได้
  • การติดเชื้อไวรัส เช่น ไรโนไวรัส (Rhinovirus), HIV, HPV, หรือไวรัสตับอักเสบซี (HCV) อาจกระตุ้นการกำเริบของโรค
  • การติดเชื้อแบคทีเรีย โดยเฉพาะเชื้อ Streptococcus ซึ่งเป็นสาเหตุของการเจ็บคอหรือทอนซิลอักเสบในเด็กและวัยรุ่น มักสัมพันธ์กับสะเก็ดเงินชนิดหยดน้ำ (Guttate psoriasis)
  • ความเครียดและการพักผ่อนไม่เพียงพอ มีผลต่อระบบภูมิคุ้มกันโดยตรง ทำให้อาการกำเริบง่ายขึ้น
  • การได้รับบาดเจ็บที่ผิวหนัง เช่น แผลถลอก ผิวหนังไหม้ หรือผิวหนังอักเสบหลังการผ่าตัด อาจทำให้เกิดผื่นใหม่บริเวณนั้น (Koebner phenomenon)
  • ยาบางชนิด เช่น ยาลิเทียม (Lithium) ที่ใช้รักษาโรคไบโพลาร์ และยาเบต้า บล็อกเกอร์ (Beta-blockers) ที่ใช้รักษาความดันโลหิตสูง

อาการเริ่มต้น โรคสะเก็ดเงิน สัญญาณเตือนที่ไม่ควรมองข้าม!

สะเก็ดเงิน อาการเริ่มต้นที่สังเกตได้
โรคสะเก็ดเงินเป็นโรคผิวหนังอักเสบเรื้อรังที่มีลักษณะเฉพาะตัว โดยอาการมักเริ่มจากผื่นแดงที่หลายคนอาจมองว่าเป็นแค่ผื่นธรรมดา แต่ความจริงแล้วมีสัญญาณเฉพาะที่สามารถสังเกตได้ตั้งแต่ระยะแรก หากพบอาการเหล่านี้ ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย
 
1. ผื่นแดงนูน หนา ขอบเขตชัดเจน และมักมีสะเก็ดสีเงินปกคลุมอยู่ด้านบน
2. เมื่อขูดสะเก็ดออก จะเห็นเป็นสะเก็ดบาง ๆ บางรายอาจมี จุดเลือดออกเล็ก ๆ 
3. ผื่นเกิดบนรอยแผลหรือบริเวณที่มีการบาดเจ็บ เช่น แผลถลอก แผลผ่าตัด หรือแม้แต่รอยขีดข่วน
4. ขนาดของผื่นอาจเล็กหรือใหญ่ และกระจายทั่วร่างกาย โดยเฉพาะตามข้อศอก หัวเข่า หลัง และหนังศีรษะ
5. ผื่นมักพบบริเวณที่มีการเสียดสี เช่น ข้อพับ ก้นกบ รอบสะดือ หรือบริเวณที่มีการกดทับจากเสื้อผ้า
6. ผื่นที่หนังศีรษะลอกคล้ายรังแค มีอาการแดง คัน หรือแสบร่วมด้วย
7. เล็บผิดปกติ เล็บอาจมีจุดบุ๋ม ผิวไม่เรียบ หนาขึ้น หรือหลุดลอก
8. ปวดข้อ ร่วมกับผื่น อาจเป็นสัญญาณของ สะเก็ดเงินข้ออักเสบ (Psoriatic arthritis)
 
หากเริ่มมีผื่นลักษณะดังกล่าว ควรรีบพบแพทย์ผิวหนังเพื่อวินิจฉัยและรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ ช่วยควบคุมอาการ ลดการลุกลาม และป้องกันภาวะแทรกซ้อนได้

อาการโรคสะเก็ดเงิน มีกี่ระยะ

สะเก็ดเงิน มีกี่ระยะ

อาการของโรคสะเก็ดเงินแบ่งได้เป็น 3 ระยะหลัก ๆ ดังนี้

  1. ระยะเริ่มต้น (Initial stage)
    เริ่มมีผื่นแดงเล็ก ๆ ขอบเขตชัดเจน มีขุยสีขาวเงินปกคลุม โดยผื่นอาจขึ้นตามข้อศอก หัวเข่า หรือหนังศีรษะ
  2. ระยะกำเริบ (Active/Progressive stage)
    ผื่นลุกลามมากขึ้น หนา คัน หรือแสบ มีสะเก็ดเพิ่ม จุดใหม่อาจเกิดตามรอยแผลหรือรอยเกา บางรายมีอาการปวดข้อร่วมด้วย
  3. ระยะคงที่หรือทุเลา (Stable/Remission stage)
    ผื่นหยุดลุกลามหรือจางลง สะเก็ดน้อยลง อาการดีขึ้น แต่ยังต้องดูแลต่อเนื่องเพื่อป้องกันการกำเริบใหม่

โรคสะเก็ดเงิน ติดต่อได้ไหม? ติดต่อทางไหน

โรคสะเก็ดเงิน ไม่ใช่โรคติดต่อ และไม่สามารถแพร่กระจายจากคนสู่คนได้ ไม่ว่าจะผ่านการสัมผัสทางผิวหนัง การใช้ของร่วมกัน การไอ จาม หรือสารคัดหลั่งต่าง ๆ

โรคสะเก็ดเงิน มีทั้งหมดกี่ชนิด?

สะเก็ดเงิน มีกี่ชนิด

โรคสะเก็ดเงินสามารถจำแนกออกได้หลายชนิด ขึ้นอยู่กับลักษณะของผื่นและตำแหน่งที่เกิด ดังนี้

  • สะเก็ดเงินชนิดผื่นหนา (Plaque Psoriasis / Psoriasis Vulgaris)
    เป็นชนิดที่พบมากที่สุด (ร้อยละ 80–90) มีลักษณะเป็นผื่นแดงหนา ขอบชัด มีขุยสีขาวหรือเงิน
  • สะเก็ดเงินชนิดขนาดเล็ก (Guttate Psoriasis)
    มีลักษณะเป็นตุ่มแดงขนาดเล็กคล้ายหยดน้ำ มักเกิดตามหลังการติดเชื้อแบคทีเรีย
  • สะเก็ดเงินชนิดตุ่มหนอง (Pustular Psoriasis)
    ผิวหนังมีตุ่มหนองขนาดเล็กจำนวนมาก บวมแดง คัน แสบ พบได้บริเวณฝ่ามือ ฝ่าเท้า ลำตัว และใต้เล็บ
  • สะเก็ดเงินชนิดผื่นแดงลอกทั้งตัว (Erythrodermic Psoriasis)
    เป็นชนิดที่รุนแรงมาก ผื่นแดงลอกเป็นขุยทั่วร่างกาย (มากกว่า 90%) มักมีไข้ อ่อนเพลีย อาจเกิดแบบเฉียบพลันหรือเรื้อรัง
  • สะเก็ดเงินบริเวณซอกพับ (Inverse Psoriasis)
    มีลักษณะเป็นผื่นแดง ไม่มีขุยหรือมีขุยน้อย มักพบบริเวณผิวหนังที่มีการเสียดสีและความชื้น เช่น ขาหนีบ รักแร้ ร่องก้น ใต้ราวนม
  • สะเก็ดเงินที่มือและเท้า (Palmoplantar Psoriasis)
    ผื่นแดง ขอบชัด มีขุยบริเวณฝ่ามือและฝ่าเท้า ทำให้รู้สึกเจ็บและไม่สบายขณะใช้งานมือหรือเดิน
  • สะเก็ดเงินที่เล็บ (Psoriatic Nails)
    ทำให้เล็บเปลี่ยนรูป เช่น เล็บเป็นหลุม เล็บหนา เล็บร่อน หรือมีสีผิดปกติ เป็นภาวะที่มักพบร่วมกับข้ออักเสบสะเก็ดเงิน
  • สะเก็ดเงินที่คาบเกี่ยวกับโรคเซ็บเดิร์ม (Sebopsoriasis)
    ผื่นลอกเป็นขุยเหลืองบริเวณหนังศีรษะ ใบหน้า หู และหน้าอก ซึ่งมีลักษณะผสมระหว่างโรคสะเก็ดเงินและโรคเซ็บเดิร์ม

โรคสะเก็ดเงินสามารถเกิดขึ้นที่บริเวณใดได้บ้าง

สะเก็ดเงิน ตำแหน่งที่พบบ่อย

โรคสะเก็ดเงินสามารถเกิดขึ้นที่บริเวณใดได้บ้าง

1. สะเก็ดเงินที่หัวและหนังศีรษะ

เป็นตำแหน่งที่พบบ่อยมาก ผื่นมีลักษณะหนา แดง มีขุยสีขาวคล้ายรังแคเกาะแน่น อาจลามออกนอกแนวไรผม ทำให้รู้สึกคัน ระคายเคือง และอาจมีสะเก็ดร่วงเป็นแผ่น

2. สะเก็ดเงินที่ใบหน้า

แม้พบได้น้อยกว่าบริเวณอื่น แต่เมื่อเกิดขึ้นมักพบที่หน้าผาก คิ้ว ข้างจมูก หรือรอบปาก ลักษณะเป็นผื่นแดง ลอกขุย มักสัมพันธ์กับชนิดที่คาบเกี่ยวกับโรคเซ็บเดิร์ม (Sebopsoriasis)

3. สะเก็ดเงินที่มือและนิ้ว

ลักษณะเป็นผื่นแดง ขอบชัด มีขุยลอก หรืออาจเป็นตุ่มหนองขนาดเล็ก (ในกรณีที่เป็นชนิดตุ่มหนอง) ผื่นอาจทำให้รู้สึกตึง เจ็บ หรือแตกเป็นแผลได้ โดยเฉพาะเมื่อใช้งานมือบ่อย

4. สะเก็ดเงินที่เล็บ

พบได้ในผู้ป่วยสะเก็ดเงินประมาณ 50% ลักษณะอาการ ได้แก่ เล็บเป็นหลุม เล็บขรุขระ หนา หรือร่อนจากฐานเล็บ สีเล็บเปลี่ยน อาจพบร่วมกับข้ออักเสบสะเก็ดเงินในบางราย

โรคสะเก็ดเงิน อันตรายไหม

โดยทั่วไป โรคสะเก็ดเงินไม่ใช่โรคร้ายแรงถึงชีวิต แต่เป็นโรคเรื้อรังที่มีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต ทั้งทางร่างกายและจิตใจ เพราะผื่นที่เกิดขึ้นมักทำให้เกิดอาการคัน แสบแดง รวมถึงส่งผลต่อความมั่นใจในตัวเอง

ภาวะแทรกซ้อนของสะเก็ดเงิน เป็นอย่างไร?

โรคสะเก็ดเงินอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนหลายอย่าง ดังนี้

ข้ออักเสบสะเก็ดเงิน (Psoriatic arthritis): ประมาณ 30% ของผู้ป่วยจะมีอาการข้ออักเสบ ซึ่งทำให้ข้อเจ็บ บวม แข็ง และอาจเสียความสามารถในการเคลื่อนไหวหากไม่ได้รับการรักษา

ภาวะทางจิตใจและสังคม: ผู้ป่วยมักมีความเครียด วิตกกังวล หรือซึมเศร้า เนื่องจากผื่นที่เห็นได้ชัดเจนอาจทำให้รู้สึกไม่มั่นใจในตัวเอง และมีปัญหาด้านการเข้าสังคม

ปัญหาสุขภาพร่วมอื่น ๆ : ผู้ป่วยสะเก็ดเงินบางรายอาจมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นต่อโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และโรคเมตาบอลิกซินโดรม ซึ่งเกี่ยวข้องกับภาวะอักเสบเรื้อรังในร่างกาย
ภาวะแทรกซ้อนจากการรักษา: หากใช้ยาหรือเลเซอร์รักษาอย่างไม่เหมาะสม อาจเกิดผลข้างเคียง เช่น การติดเชื้อ หรือผิวบางลง

แนวทางการรักษาสะเก็ดเงิน อย่างมีประสิทธิภาพ

การรักษาโรคสะเก็ดเงิน สิ่งสำคัญคือการควบคุมอาการ ลดการอักเสบ และป้องกันการกำเริบ โดยแบ่งแนวทางการรักษาออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ การใช้ยาทาภายนอก ยารับประทาน/ยาฉีด และการฉายแสง ดังนี้
 
1. การใช้ยาทาภายนอก (Topical Therapy)
 
เหมาะกับผู้ที่มีผื่นไม่มาก (≤10% ของผิวหนังทั้งหมด) ใช้ควบคุมอาการในระยะเริ่มต้น เช่น คอร์ติโคสเตียรอยด์, วิตามินดีอนุพันธ์, น้ำมันดิน, แอนทราลิน และสารลอกเคราติน ยากลุ่มนี้ช่วยลดการอักเสบ คัน และขุยของผิวหนังได้ดี
 
2. การรักษาด้วยยารับประทาน (Systemic Therapy)
 
ใช้ในรายที่อาการปานกลางถึงรุนแรง หรือมีข้ออักเสบร่วม ยาที่ใช้เช่น Methotrexate, Acitretin, Cyclosporine ทำงานโดยกดการอักเสบและภูมิคุ้มกัน และจำเป็นต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ เนื่องจากอาจมีผลข้างเคียง
 
3. การฉายแสง (Phototherapy)
 
การรักษาด้วยแสงอัลตราไวโอเลต เช่น UVB, PUVA หรือ Excimer light ใช้ได้ดีในคนไข้ที่เป็นมากหรือดื้อต่อการรักษาอื่น ควรเข้ารับการรักษา 2–3 ครั้ง/สัปดาห์ เป็นเวลาอย่างน้อย 3 เดือน มีข้อดีคือไม่เจ็บ ไม่ทำให้ผิวไหม้ และช่วยควบคุมโรคได้ระยะยาว
 
4. ยาฉีดชีวโมเลกุล (Biologic agents)
 
เหมาะกับผู้ที่มีอาการปานกลางถึงรุนแรงหรือดื้อต่อยาอื่น ยาฉีดกลุ่มนี้ เช่น Adalimumab, Secukinumab, Ustekinumab ช่วยลดการอักเสบโดยตรงที่ระบบภูมิคุ้มกัน เห็นผลใน 2–3 สัปดาห์ แต่ต้องประเมินความเหมาะสมรายบุคคลโดยแพทย์
 
การรักษาโรคสะเก็ดเงินควรได้รับการวินิจฉัยและดูแลโดยแพทย์ เพื่อเลือกวิธีที่เหมาะสมกับแต่ละรายและป้องกันผลข้างเคียงจากการใช้ยาอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงสุด

การดูแลผิวสำหรับผู้ป่วยสะเก็ดเงิน

  • ทายาตามแนวขน ไม่ทาหนาเกินไป และใช้ตามคำแนะนำแพทย์
  • อาบน้ำด้วยน้ำอุ่นอ่อน ๆ เลือกสบู่อ่อนโยน หลีกเลี่ยงน้ำร้อน
  • ทาครีมเพิ่มความชุ่มชื้นวันละ 2-3 ครั้งเสมอ
  • หลีกเลี่ยงเกาหรือขูดหนังศีรษะ และงดใช้สารเคมีแรง ๆ
  • ตัดเล็บสั้นเพื่อป้องกันแผลและการติดเชื้อ
  • ควบคุมน้ำหนัก ออกกำลังกาย และหลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง
  • ลดความเครียด งดบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
  • ใช้ยาอย่างเคร่งครัดและไม่ซื้อยาทานเอง
  • ตรวจติดตามอาการตามนัดและรีบพบแพทย์เมื่อผิดปกติ

แนวทางการป้องกันโรคสะเก็ดเงิน

  • ใช้มอยส์เจอไรเซอร์หรือครีมบำรุงผิวเป็นประจำเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น
  • ทำความสะอาดผิวอย่างอ่อนโยนและสม่ำเสมอ
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสอากาศแห้งหรือเย็นจัดที่ทำให้ผิวแห้งแตก
  • หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่อาจกระตุ้นโรคสะเก็ดเงิน เช่น ยาบางชนิดที่แพทย์ไม่แนะนำ
  • ปกป้องผิวไม่ให้เกิดบาดแผลหรือการติดเชื้อ
  • รับแสงแดดในปริมาณที่พอเหมาะ ช่วยกระตุ้นการทำงานของผิวโดยไม่ให้ผิวไหม้
  • พักผ่อนให้เพียงพอ ลดความเครียดซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการกระตุ้นโรค

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโรคสะเก็ดเงิน

โรคสะเก็ดเงินรักษาหายขาดได้ไหม?

ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาด แต่สามารถควบคุมอาการได้ด้วยการรักษาและดูแลผิวอย่างถูกวิธี

หากมีผื่นที่ลุกลาม หรือมีอาการผิดปกติ ควรพบแพทย์ผิวหนังเพื่อรับคำแนะนำและรักษา

โรคสะเก็ดเงินควรหลีกเลี่ยงอาหารทอด ฟาสต์ฟู้ด น้ำตาลสูง อาหารแปรรูป แอลกอฮอล์ และอาหารที่มีกรดยูริกสูง เช่น เครื่องในสัตว์ เพื่อช่วยลดการอักเสบและควบคุมอาการ

โรคสะเก็ดเงินไม่หายเองครับ เป็นโรคเรื้อรังที่ต้องได้รับการรักษาและดูแลอย่างต่อเนื่องเพื่อควบคุมอาการให้อยู่ในระดับที่ดีขึ้นและลดการกำเริบของโรค

สรุป

แม้ว่าโรคสะเก็ดเงินจะเป็นโรคเรื้อรังที่ยังไม่มีวิธีป้องกันแบบ 100% แต่การดูแลตัวเองให้ดี ดูแลผิวให้ชุ่มชื้น และหลีกเลี่ยงสิ่งที่กระตุ้นโรค จะช่วยให้เราควบคุมอาการได้ดีขึ้น และลดการกำเริบของโรคได้ ที่สำคัญคืออย่าลืมพบแพทย์และให้ความสำคัญกับการรักษาอย่างต่อเนื่อง เพื่อผิวสุขภาพดีและชีวิตที่มีความสุขมากขึ้น

อ้างอิงและแหล่งที่มาของข้อมูล

  • Siriraj Piyamaharajkarun Hospital. (n.d.). Psoriasis. https://www.siphhospital.com/th/
    news/article/share/psoriasis
  • MedPark Hospital. (n.d.). Psoriasis. https://www.medparkhospital.com/disease-and-treatment/psoriasis